About
Eternal [Kalpa]
นิรันดร์ [กัลป์]
นิรันดร์ [กัลป์] คือภาพดวงอาทิตย์จรดขอบฟ้า ห้วงเวลาที่เงาสีทองค่อยๆ กลืนหายไปในท้องทะเล ลำดับภาพอันงดงามที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกวัน ณ จุดชมวิวแหลมพรหมเทพ จังหวัดภูเก็ต จะดำเนินต่อไปตราบจนโลกและสรรพสิ่งทั้งปวงสูญสิ้น
ในขณะที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนคล้อยสู่จุดสิ้นสุดของวารวัน ชีวิตทั้งหลายบนเกาะแห่งนี้ยังคงเคลื่อนไหวไปตามจังหวะของตนเอง ชาวประมงวางมือจากการถักแห นักแสดงคาบาเรต์แต่งหน้าเตรียมขึ้นเวที พ่อค้าปลาวางของสดบนแผงตลาด นักท่องเที่ยวทยอยกลับจากทริปดำน้ำ ผู้ลี้ภัยเฝ้าดูข่าวภัยพิบัติในบ้านเกิดผ่านหน้าจอโทรศัพท์ ผู้ศรัทธาพากันก้มกราบภาวนา ฝูงพะยูนแหวกว่ายในทุ่งหญ้าทะเล มหาสมุทรอันเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนขนาดใหญ่ยังคงรับแสงอาทิตย์อย่างอ่อนโยน เฉกเช่นน้ำทะเลที่ยังขึ้นลงตามแรงดึงดูดของดวงจันทร์
จริงอยู่ที่ภาพวัฏจักรเหล่านี้อาจปลอบประโลมใจเรา แต่อีกด้านหนึ่ง มันก็กำลังส่งสัญญาณแห่งหายนะที่คืบคลานเข้ามา เมื่อภูมิอากาศแปรปรวน ภัยพิบัติเกิดซ้ำ น้ำทะเลกลายเป็นกรดและค่อยๆ กลืนกินแนวชายฝั่ง สมดุลเก่าแก่กำลังพังทลาย ขณะที่แรงกดดันจากระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการแข่งขันและความรุนแรง ค่อยๆ กัดกร่อนความเห็นอกเห็นใจของมนุษย์ พร้อมทำลายโลกของสิ่งมีชีวิตอื่นไปพร้อมกัน ยุคแห่งการตั้งรกรากอันยาวนานของสิ่งมีชีวิตดูเหมือนจะสิ้นสุด และถูกแทนที่ด้วยยุคแห่งการละทิ้งและอพยพย้ายถิ่น กระทั่งผู้ชนะในสนามแข่งขันระดับโลกก็กำลังมองหาทางออกของตนเอง
ท่ามกลางสัญญาณแห่งการเสื่อมถอยเหล่านี้ นิรันดร์ [กัลป์] คือคำเชิญให้เราหยุดยั้งปลายทางของชะตากรรมที่ถูกกำหนดไว้ แล้วหันมาเปิดรับกาลเวลาอีกรูปแบบหนึ่ง เวลาแห่งการให้กำเนิด สรรสร้าง และโอบรับทั้งวัฏจักรของจักรวาลและวิถีประจำวัน เวลาที่เปิดพื้นที่ให้ระยะเวลารูปแบบอื่นอยู่ร่วมกันได้ — นี่คือ เวลาแห่งการร่วมมือและความเมตตาในการเผชิญปัญหาที่เรามีร่วมกัน
แนวคิดนี้มารากจากคติพราหมณ์โบราณ สะท้อนว่า “หนึ่งกัลป์” คือหนึ่งวันในชีวิตของพระพรหม หนึ่งวันของพระองค์ยาวนานถึง 1,000 มหายุค หรือ 4,320,000,000 ปีของมนุษย์ ก่อนที่พระศิวะจะเผาผลาญโลกด้วยไฟแห่งกัลป์ หนึ่งกัลป์จึงเท่ากับระยะเวลาที่แสงแห่งพระพรหมส่องสว่างอยู่ และเมื่อแสงนั้นดับลง ความมืดก็เข้าครอบงำ กระทั่งรุ่งอรุณมาถึง โลกใหม่ก็ถือกำเนิดอีกครั้ง เปิดวัฏจักรของกัลป์ใหม่ไม่รู้จบ
อย่างไรก็ดี “เวลา” อีกรูปแบบหนึ่งยังดำรงอยู่ในจิตสำนึกของเรา มนุษย์ไม่ได้เพียงบันทึกเวลาในกระแสประวัติศาสตร์ แต่ยังรับรู้อดีตด้วยสัญชาตญาณ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์เลวร้ายหรือช่วงเวลาแห่งความสุข ทั้งการเปลี่ยนแปลงที่ฉับพลันหรือค่อยเป็นค่อยไป ล้วนทิ้งร่องรอยไว้ในพฤติกรรมของเรา เรารับรู้เวลาผ่านอารมณ์ ความสุข ความเศร้า และความสูญเสีย ซึ่งค่อยๆ ทับถมเคยชินและกลายเป็นความความทรงจำ ดังนั้น “เวลาภายในตัวตน” จึงไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับเวลาของโลกจริงหรือกรอบสังคม แต่มันสร้างพื้นที่ที่ต่างกันและฝังอยู่ในเรื่องราว การตัดสินใจ และเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างสรรค์ของเราภายใต้ความทรงจำ—ขณะที่สำนึกรู้และไม่รู้ตัว—ทำให้เราในฐานะปัจเจกบุคคลอาจสามารถจดจำตัวเองในประวัติศาสตร์และอนาคตที่เรามีร่วมกันได้
แก่นแกนของเทศกาลมหกรรมศิลปะ ในครั้งนี้คือ “คำถามว่าด้วยการอยู่ร่วมกัน” ท่ามกลางความแตกต่างที่ยิ่งทวีความรุนแรงจากวิกฤตสิ่งแวดล้อม ความโลภ การสื่อสารที่ขาดประสิทธิภาพ และการขาดเจตจำนงทางการเมือง ท่ามกลางยุคของพหุวิกฤต (polycrisis) นิรันดร์ [กัลป์] ชวนให้เราหันกลับมารับฟังธรรมชาติ และใช้ชีวิตในจังหวะแห่งเวลาอันอ่อนโยน ละเมียดละไม และเอื้อเฟื้อต่อกันมากกว่านี้ จังหวะเวลาที่แตกแขนง ได้เผยตัวผ่านกระบวนการค้นคว้าและบทสนทนาทางศิลปะในหลากหลายสาขา ตั้งแต่สถาปัตยกรรม ดนตรี ทัศนศิลป์ ศิลปะการแสดง การออกแบบ ภาพยนตร์ วรรณกรรม ไปจนถึงศาสตร์อื่นๆ นี่อาจเป็นการเมืองรูปแบบใหม่ที่ความหลากมิติถูกโอบรับอย่างมีชีวิตชีวา การเมืองที่จำเป็นต้องอาศัยการรับฟัง การรู้สึก และการรับรู้ในวิธีที่ต่างออกไป และการเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้งหลายอาจช่วยให้เราเข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับสรรพสิ่งอื่นมากขึ้น พร้อมช่วยกันหาหนทางส่งต่อองค์ความรู้ดั้งเดิมและประสบการณ์ที่สั่งสมอันเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้เหล่านี้ไปยังคนรุ่นต่อไป
ภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น เหตุการณ์สึนามิที่พัดถล่มเกาะภูเก็ต และพื้นที่ใกล้เคียงในปี 2547 รวมถึงการแพร่ระบาดของ โควิด 19 ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้ทิ้งร่องรอยอันไม่อาจลบเลือนต่อผู้คนและสภาพเกาะแห่งนี้ ซึ่งเปลี่ยนโฉมภาพลักษณ์และแนวโน้มทางเศรษฐกิจของเมืองไปอย่างสิ้นเชิง สถานการณ์เหล่านี้มอบบทเรียนเรื่องความเข้มแข็งและการฟื้นคืน ที่จะกลายเป็นคุณค่าสำคัญในยุคที่มนุษย์ต้องเผชิญภัยพิบัติจากน้ำมือของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการทำลายถิ่นอาศัยของสิ่งมีชีวิต การกลับมาของลัทธิฟาสซิสต์ หรือข้อฉงนสงสัยและความไม่เชื่อใจกันแพร่ผ่านเทคโนโลยี จนทำให้พื้นที่สาธารณะในสังคมแตกแยกมากขึ้น ในห้วงเวลาเช่นนี้ การเข้าใจอดีตและมีเมตตาต่อกันกับเพื่อนบ้านหรือคนแปลกหน้า จึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง การอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนระหว่างมนุษย์กับโลก เราอาจต้องเริ่มเรียนรู้วิถีใหม่ของ “การแบ่งปันเวลา” — เวลาที่ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง หากเป็นเวลาที่เราทุกคนสามารถตระหนักรับรู้และใช้ชีวิตอย่างรื่นรมย์ไปพร้อมกันได้
— อริญชย์ รุ่งแจ้ง เดวิด เทห์ มาริสา พันธรักษ์ราชเดช เฮร่า ชาน